วันนี้ (15 ส.ค.2568) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังจาก พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุว่าจะไม่เปิดด่านชายแดนจนกว่าจะเกษียณอายุราชการ ซึ่งรัฐบาลมีแนวทางอย่างไรนั้น
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ต้องรอการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ว่าผลออกมาเป็นอย่างไรและดำเนินการตามกระบวนการ ส่วนที่ประชาชนเรียกร้องให้สร้างรั้วกั้นพื้นที่ชายแดนนั้นอยู่ที่การเจรจา จึงต้องว่าไปตามกระบวนการ
ส่วนกรณีกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เชิญคณะทูตกลุ่มรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาและผู้แทนอาเซียน เพื่อชี้ให้ประเทศที่สนับสนุนกัมพูชาเห็นว่ากัมพูชาใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล จะสามารถทำได้เพียงใดนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไทยนำเสนข้อเท็จจริงและได้ยื่นประท้วงไปแล้วว่ากัมพูชาละเมิดอนุสัญญาออตตาวา เชื่อว่าประเด็นนี้จะไม่มีปัญหาและจะถูกหยิบยกไปหารือในที่ประชุม RBC
เมื่อถามว่า ตั้งแต่เกิดสถานการณ์ตามแนวชานแดน ไทยได้ยื่นประท้วงไปยังองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ มีการตอบรับบ้างหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า รมว.ต่างประเทศได้ติดตามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบางองค์กรมีการเรียกประชุมแล้ว นอกจากนี้ยังมีกระบวนการด้านการทูต แต่อย่างไรก็ตามต้องเก็บหลักฐานทั้งหมด เพื่อใช้ในช่วงเวลาและกระบวนการที่เหมาะสม
“ต่างฝ่ายต่างทำความเข้าใจกับนานาประเทศ ขณะนี้เรายืนอยู่ในจุดที่ต่างประเทศเข้าใจเรากับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น และเชื่อว่าประเทศไทยได้รับการยอมรับจากประชาคมโลกมากกว่า ทั้งพฤติกรรมและการดำเนินการต่างๆ ที่เราเราได้ปฏิบัติขั้นตอนตามกฎหมายมาโดยตลอด แม้ว่าเรื่องการทำความเข้าใจกับประชาชนอาจไม่ทันการณ์ แต่ในการเจรจาทางการทูตและทางกฎหมายเรายื่นเรียบร้อยทุกอย่าง” นายภูมิธรรม กล่าว
นายภูมิธรรมกล่าวว่าประเด็นเรื่องการสร้างรั้วกั้นชายแดนตามที่ประชาชนเรียกร้อง จะต้องขึ้นอยู่กับการเจรจาในที่ประชุม RBC โดยจะพิจารณาถึงความเหมาะสมและกระบวนการที่เกี่ยวข้องต่อไป
ส่วนกรณีที่ไทยยื่นประท้วงกัมพูชาต่อองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ ว่ามีการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา นายภูมิธรรมระบุว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา เนื่องจากไทยมีหลักฐานที่ชัดเจน และได้เชิญคณะทูตานุทูตจากประเทศภาคีและอาเซียนเข้ามาชี้แจงสถานการณ์ โดยเชื่อว่าประชาคมโลกเข้าใจจุดยืนของไทยเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศได้ติดตามความคืบหน้าของเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และทราบว่าบางองค์กรได้เริ่มมีการประชุมแล้ว พร้อมยืนยันว่าทางการไทยได้ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายและกระบวนการทางการทูตครบถ้วนทุกประการ
